Monday 29 June 2009

อยากจำกลับลืม

เที่ยงคืนวันที่ 29 มิ.ย. 2552 (technically it’s 30 June 2009, but 29 June is more meaningful since it’s my dad’s 58th B’day!)


ตื่นมากลางดึกด้วยความรู้สึกว่าเอ๊ะทำไมเราจำอะไรไม่ได้ซะเลย (สาเหตุของตื่นกลางดึกคงเป็นเพราะนอนไปตั้งแต่สามทุ่ม) แต่สาเหตุที่เกิดจะลุกขึ้นมาเขียนอะไรต่อมิอะไร ตามที่เพื่อนผู้รักการเขียน (จริงๆ น่าจะบอกว่าเป็นผู้รักการบันทึกในหลากหลายวิธีมากกว่า) ชักชวนมาแล้วหลายครั้ง ก็คงเป็นเพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อ่านหนังสือไทม์ที่เรียกร้องความสำคัญของปี ค.ศ.  1989 ซึ่งมีเหตุการสำคัญหลายอย่างที่เปลี่ยนสมดุลย์ (พักนี้ชอบคำนี้ วันก่อนไม่สบาย แต่รู้สึกว่าร่างกาย “เสียสมดุลย์” มากกว่า “ป่วย”) ของโลกนี้ไป หลักๆ ก็ได้แก่ เหตุการณ์การประท้วงที่เทียนอันเหมินเมื่อต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งก็ได้มีการทบทวนถึงเรื่องดังกล่าวผ่านสื่อกันไปพบสมควร และต่อไปก็เป็นการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินช่วงสิ้นปี ก็เป็นเหตุการณ์ใหญ่ แต่คำถามคือ แล้วตอนนั้นเราทำอะไรอยู่ พยายามนึกๆๆๆ จนทนไม่ไหวว่า คงถึงเวลาที่เราจะต้องบันทึกอะไรซะบ้างแล้ว อ้อ อีกปัจจัยที่ทำให้เห็นประโยชน์ของการบันทึกก็คงเป็นการเคลียร์อีเมล์เก่าๆ เพื่อรับกับเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ ทำให้พบว่าเมื่อราวสี่ปีที่แล้วก็ได้มีการสื่อสารออดอ้อนขอกำลังใจและบ่นเกี่ยวกับเรื่องเรียน ไปจนถึงวางแผนเที่ยว ผ่านอีเมล์กับเพื่อนและครอบครัวไม่ใช่น้อยเลย (นอกจากจะลืมประเด็นพวกนั้นไปแล้ว ยังนึกไม่ถึงสำนวนภาษาที่ใช้ตอนนั้นซะด้วยซิ มันดูเด๋อด๋าชอบกล) แล้วดูซิ ในช่วงเดียวกันนี้ ไมเคิล แจคสัน ผู้ที่คุ้นเคยกันมานานก็มาตายไปต่อหน้าต่อตา (ด้วยเหตุที่ค่อนข้างจะเป็นปุถุชนพอสมควร) ยิ่งทำให้คิดว่าควรจะจดมากกว่าจำได้แล้ว (แม้ว่าหลายปีจากนี้ไปอาจจะกลับมานั่งหัวเราะกับภาษาที่เด๋อด๋าของตัวเองก็ตาม)


หลังจากที่ได้พยายามนึกมานาน (นอนคิด แล้วก็มานั่งคิดต่อระหว่างที่เขียนย่อหน้าข้างต้น) ก็ยังไม่ชัดเจนซะทีว่าเมื่อปี ค.ศ. 1989 ทำอะไรอยู่ แต่ว่าน่าจะอยู่ซัก ป. ห้า ซึ่งน่าจะจำอะไรได้พอสมควรแล้ว จำได้ว่าได้ดูรายงานข่าวของสองเหตุการณ์นี้ แบบเด็กไม่มีสมาธิทั่วไปพึงกระทำ เพราะขณะนั้นยังไม่มีไอเดียว่าจะต้องมาเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดขึ้นในเวลาต่อมา (แต่่เชื่อว่าเพื่อนกันหลายคนคงรู้ว่าต้องการจะขุดค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่วัยนั้น) จะเอาตัวเข้าไปใกล้เหตุการณ์ทั้งสองหน่อย ก็ตามคำบอกเล่าของพ่อที่บอกว่า ได้รับคำสั่งให้ไปทำงานที่ปักกิ่งอยู่สามเดือนหลังจากเหตุการณ์เทียนอันเหมิน (หรือที่พ่อเรียกติดปากว่าเทียนอันเหม็น) แต่ก็จำไม่ได้แน่นอนว่าไปเมื่อไหร่ คงต้องไปค้นหลักฐานรูปถ่ายที่บ้าน ซึ่งก็ดูแล้วหลายต่อหลายรอบ มีพ่อใส่กางเกงลูกฟูกสีเขียว!!  เดินเที่ยวพระราชวังต้องห้ามที่ดูวังเวงมากๆ และมีรูปถ่ายบ้านเมืองปักกิ่งในขณะนั้น ที่ยังมีกองทัพจักรยานเป็นเจ้าถนนอยู่ ก่อนที่จะได้ไปเห็นด้วยตัวเองในอีกซักห้า-หกปีให้หลัง เมื่อจักรยานเริ่มหายไปจากถนนปักกิ่ง และอีกซักสามครั้งหลังจากนั้น เมื่อจักรยานโดนเบียดตกขอบจากถนนยี่สิบเลนกลางเมืองปักกิ่งไปเรียบร้อยแล้ว


สำหรับการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ก็ไม่เคยได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ร่วมสมัยกับตัวเองขนาดนี้ (finally, a confession of a IRist) จนกระทั่งได้ไปเจอกับเพื่อนคนเยอรมัน และพี่คนไทยที่โตในเยอรมัน ตอนปีสามไม่ก็ปีสี่ แล้วก็นึกได้ว่าเค้าต้องจำความช่วงนั้นได้แน่ๆ ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดไว้ แต่เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่า ความแตกต่างของการมีเยอรมันเดียว คือ การที่คนฝั่งตะวันตกต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อดูแลคนฝั่งตะวันออก (ก็คงรู้แล้วว่าคนพูดอยู่ฝั่งไหนนะ)  อ้อ จำได้ว่าได้เคยอ่านโปสการ์ดที่พ่อเขียนกลับมาระหว่างตามเสด็จไปประเทศแถบยุโรปตะวันออก czechoslovakia ในเวลานั้น ช่วงที่รัสเซียแตกใหม่ๆ ซึ่งก็ต่อจากเหตุการณ์กำแพงเบอร์ลินไม่นาน


ตกลงว่าก็ยังไม่ได้คำตอบซะทีเดียวว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ทำอะไรอยู่ แต่ได้ข้อสรุปว่ากลับบ้านคราวหน้าต้องหาเวลาไปค้นโน่นนี่เพิ่มขึ้นแล้ว เผื่อจะมาตอบอะไรได้มากขึ้น แล้วก็จะเอามาจดไว้ซะหน่อย ไม่ได้เล่าให้ใครฟังก็ได้เตือนความจำตัวเองอีกซักครั้งเวลาอ่าน